เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ ก.พ. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมเนาะ ธรรมะเป็นที่พึ่งของหัวใจไง เวลาทำบุญกุศลกัน นี่ทำบุญกุศล บุญคืออะไร? บุญคือความสุขใจ ถ้าความสุขใจคือความพอใจใช่ไหม? ถ้าความพอใจ เห็นไหม คนเราพอใจสิ่งใดก็ได้ ถ้าพอใจสิ่งใดนั้นจะเป็นความสุข เป็นบุญกุศลใช่หรือไม่?

กุศล อกุศล ถ้าเป็นกุศล ความพอใจที่เป็นบุญนะมันไม่มีข้อโต้แย้ง คำว่าไม่มีข้อโต้แย้ง คือว่าถ้าเป็นบุญแล้วมันไม่มีความขัดข้องหมองใจ แต่ถ้าเป็นอกุศลนะ บุญกุศล บาปอกุศล ถ้าเป็นบาปอกุศลพอใจไหม? คนที่คุ้นเคยไง คนที่คุ้นเคย เห็นไหม คนดี ทำดีได้ง่าย ทำชั่วได้ยาก คนชั่ว ทำชั่วได้ง่าย ทำดีได้ยาก

จิตที่มันคุ้นเคย จิตที่มันคุ้นเคยกับความคิด หรือจิตที่เป็นกุศล เป็นบาปอกุศล เขาก็เป็นความพอใจของเขา ความพอใจเป็นบุญหรือ? ความพอใจ เห็นไหม ความพอใจต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าสัมมาทิฏฐิมันจะมีปัญญาเข้าไปแยกแยะว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด ถ้าถูกหรือผิด นี่มีปัญญาเข้าไปแยกแยะว่าถูกและผิด แล้วมันจะแยกเอาแต่ความถูกไว้ ความผิดพยายามจะดับมันให้ได้

การดับมัน นี่บุญกุศล ถ้าบุญกุศลมันมีความอบอุ่นในหัวใจของเรา เราถึงขวนขวายกันมาทำบุญ ทำบุญเพื่อเป็นที่พึ่งของใจไง เวลาใจของเรา เวลาเราทุกข์จนเข็ญใจ จะมีคนช่วยเหลือเจือจานเราได้ แต่ขณะที่เรามั่งมีศรีสุขขนาดไหน ทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน แต่หัวใจมันว้าเหว่ ทีนี้หัวใจว้าเหว่มันขาดแคลน แต่ถ้ามันมีบุญกุศลในหัวใจ นี่บุญกุศลในหัวใจ เราจะอยู่โคนไม้ อยู่ที่ไหน หัวใจมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน คำว่ามีหลักมีเกณฑ์คือว่ามันไม่หวั่นไหวไปกับใครไง

ถ้าไม่หวั่นไหวไปกับใคร นี่ไงสิ่งที่เป็นวัตถุ เรามองสิ่งที่เป็นวัตถุว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา สิ่งที่พึงปรารถนาแต่เมื่อเราจำเป็นต้องใช้สอย แต่ถ้าเราไม่จำเป็นใช้สอย สิ่งนั้นมันก็อยู่ของมันโดยเก้อๆ เขินๆ อย่างนั้นแหละ แต่หัวใจมันอยู่กับเราตลอดนะ หัวใจ ความรู้สึกนึกคิดมันอยู่กับเราตลอด ถ้าเวลามันเร่าร้อนขึ้นมาล่ะ? เห็นไหม บุญกุศลเพื่อเหตุนี้ไง บุญกุศลเพื่อให้จิตใจนี้ได้ที่พึ่ง ที่อาศัย เวลาใครทำความสงบของใจนะ เขาจะมีบ้านเรือนของเขา นี่เวลาอยู่กลางแดดเราจะมีความเร่าร้อนนัก เวลาเข้าอยู่ในร่มเงาของต้นไม้ เราจะมีความร่มเย็นเป็นสุข

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตใจที่มันเร่าร้อน มันเร่าร้อนของมัน มันกระเสือกกระสนของมัน แต่ถ้าเรามีพุทโธ พุทโธ มีความสุข มีจิตให้มันสงบได้มันจะมีที่พักอาศัย ถ้ามีที่พักอาศัย นี่ถ้าผู้ปฏิบัติเข้าไปแล้วมันจะเข้าใจเรื่องบุญกุศลมากขึ้นเรื่อยๆ บุญกุศล ถ้าเรายังไม่เข้าใจนะเราก็จะบอกว่าบุญกุศลคือการเสียสละ อย่างนี้ใช่ไหมคือเป็นบุญกุศล แล้วทำอย่างอื่นไม่เป็นบุญกุศลเลยหรือ? เวลาการให้ปัญญา เห็นไหม การได้บุญกุศลที่สูงสุด การให้ทานชนะซึ่งการให้ทั้งปวง

การให้ทานคือการให้ปัญญาไง เราให้ปัญญาเขา เราให้ความรู้สึกนึกคิดเขา ให้เขาเป็นคนดี มันเป็นวัตถุไหม? มันเป็นนามธรรมใช่ไหม? ความรู้สึกนึกคิดเรื่องปัญญานี่เป็นนามธรรม แต่ทำไมการให้ธรรมชนะซึ่งการให้ทั้งปวงล่ะ? ให้ธรรมชนะทั้งปวง เพราะคนๆ นั้นเขาจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาไง เพราะเราเป็นเด็ก เด็กน้อยจิตใจเร่ร่อน จิตใจไม่มีหลักมีเกณฑ์ เราถึงได้เร่าร้อนกัน แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เห็นไหม เรามีสติปัญญากับหัวใจของเรา ทำไมคิดเรื่องอย่างนั้นนัก? ทำไมเร่าร้อนนัก? ทำไมไม่สงบระงับบ้าง? ทำไมเราไม่มีเหตุมีผล?

นี่มีปัญญา แล้วมันจะสงบระงับได้อย่างไรล่ะ? ดูสิเวลาไฟมันเผาป่า มันมีเชื้อไฟของมัน มันจะเผาลามไปเต็มที่ของมันเลย ลามไปจนกว่าจะหมดเชื้อ เวลามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลามันจุดไฟติดของมัน เห็นไหม ทำไมมันเร่าร้อนนัก การจะดับไฟป่า ผู้ดับไฟป่า ถ้าไฟมันโหมรุนแรงเขาต้องมีวิธีการของเขา ถ้าเสี่ยงดับไฟป่าโดยที่โหมรุนแรงนะเขาถึงกับเสียชีวิตได้ จิตใจที่มันเร่าร้อนนักเราจะขวางมันอย่างไร? เราจะดับอย่างไร?

เวลาเขาดับไฟป่า เขาดับจากขอบนอกมันเข้าไป ถึงจะดับมันให้ได้ หัวใจของเราเวลามันเร่าร้อนนัก นี่เรามีสติปัญญายับยั้งมันไว้ สติปัญญายับยั้งไว้ ถ้ามันเร่าร้อนนัก นี่คนที่มีอำนาจวาสนานะ อำนาจวาสนาหมายถึงว่าถ้าเราทำบุญกุศลของเรามาบ้าง มันจะมีสติปัญญายับยั้งไง ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมเป็นอย่างนี้? แต่เวลาคนที่เขาไม่มีสติปัญญาเขาว่าไม่เป็นแบบนี้นะ เขายิ่งย้ำคิดย้ำทำ แล้วเขายิ่งแสดงออกของเขาไป เขายิ่งสร้างสมของเขาไป นี่ไฟป่ามันเผาแล้วมันเผาอีก เผาจนถึงที่สุดของมัน นี่หัวใจมีแต่ความเร่าร้อนไง

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะจะได้ครองราชย์อยู่แล้ว เห็นไหม จะเป็นกษัตริย์อยู่แล้ว แต่หัวใจมันเร่าร้อน หัวใจมันเร่าร้อนนัก นี่ต้องออกอย่างเดียว ต้องออกหมายถึงต้องหาที่สงบสงัดอย่างเดียว แต่ทางโลกเรา เราแสวงหาสิ่งนั้นมาเพื่อเป็นที่พึ่งอาศัย

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาพระจะบวช บริขาร ๘ มีบาตร มีจีวร มีธมกรก แล้วอยู่ด้วยเรือนว่าง เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ฉันน้ำดองมูตรเน่า ปัจจัย ๔ ไง พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธนะ เวลาสละราชวังมา นี่เป็นวัตถุสละสิ่งนั้นมา เพราะต้องมารับผิดชอบ ต้องดูแล เห็นไหม ต้องดูแลเพื่อรับผิดชอบต่างๆ มันเป็นการเผาลน เผาลนด้วยกิเลส เผาลนว่าเราอยากจะพ้นจากนี้ไป ออกแสวงหาอยู่ ๖ ปีนะ เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว เวลาจะบวชพระ พระต้องมีบริขาร ๘

มีพระในสมัยพุทธกาล นี่พาหิยะๆ ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์เลย แล้วขอบวช “เธอไม่มีบริขาร เธอต้องไปหาบริขาร”

บริขาร ๘ นี่บาตร จีวร ธมกรก บริขาร ๘ “เธอไม่มีบริขาร ๘ เธอบวชได้อย่างไร?” ไปหาบริขาร ๘ อยู่ โดนควายแม่ลูกอ่อนขวิดตายเลย นี่เวลาเขาแสวงหา นี่ปัจจัยเครื่องอาศัยพระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธ ทีนี้เพียงแต่ว่าจิตใจเราเป็นธรรมหรือเปล่า? ถ้าจิตใจเราเป็นธรรมนะ มักน้อยสันโดษ สันโดษมันมีอยู่แล้ว มีสันโดษยังมักน้อย ดูพระเราบิณฑบาตมา เห็นไหม นี่สิ่งที่จัดใส่บาตรแล้ว เวลาจะฉันต้องปฏิสังขาโยใช่ไหม?

ปฏิสังขาโยหมายความว่า นี่สิ่งนั้นมันเป็นอะไร? นี่เป็นไขมันไหม? ฉันเข้าไปแล้วมันจะง่วงเหงาหาวนอนไหม? สิ่งนั้นฉันเข้าไปแล้วเป็นประโยชน์ไหม? ถ้าคนไม่ปฏิสังขาโย ฉันโดยไม่มีสติปัญญา ปรับอาบัติหมดเลยนะ แม้แต่การขบฉัน ภัตกิจ ถ้าเธอไม่มีสติปัญญา พระพุทธเจ้าปรับอาบัติทันที เวลาจะฉันต้องปฏิสังขาโยก่อนว่าสิ่งนี้เพื่อประโยชน์อะไร?

เวลาจะห่มผ้านะ ห่มผ้านี้เพื่ออะไร? ปฏิสังขาโย ปฏิสังขาโยว่าห่มเพื่อกันแดด กันเหลือบ กันยุง กันลิ้น กันไร ห่มผ้าเพื่อความไม่กระดากอายกับสังคมโลก เราจะเปลือยอย่างนั้นมันเป็นการกระดากอาย ห่มเพื่อแบบนี้ไง ไม่ใช่ห่มเพื่อสวย เพื่องาม ห่มเพื่อต่างๆ ห่มเพื่อความไม่กระดากอายเท่านั้นเอง นี่เวลาปฏิสังขาโย มักน้อยสันโดษ ขนาดได้มายังมักน้อยสันโดษ

นี่พูดถึงการดำรงชีวิตไง แล้วเรามีปัจจัยเครื่องอาศัย เราจะเป็นเจ้านายเขา หรือเราจะเป็นลูกน้องเขา ถ้าเราจะเป็นเจ้านายเขาเราก็บริหารจัดการ เราจะใช้เพื่อประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับการดำรงชีวิต ประโยชน์กับครอบครัว ประโยชน์กับการทำธุรกิจของเรา ประโยชน์โลกหน้า ประโยชน์ในการเสียสละออกไป นี่มันมีประโยชน์กี่ชั้น กี่ซับ กี่ซ้อน นี่มันมีสติปัญญามันก็ทำได้ พอมันทำของมันขึ้นมา สิ่งที่เป็นวัตถุ เป็นประโยชน์กับเรา นี้เป็นการแสดงออกของน้ำใจ แต่ถ้าเราไม่มีล่ะ? เราไม่มี เห็นไหม

“ทำทานร้อยหน พันหน บุญกุศลไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง มีศีลบริสุทธิ์ร้อยหน พันหน ไม่เท่ากับทำความสงบของใจหนหนึ่ง”

นี่เราทำทานร้อยหน พันหน ความสงบของใจเรามีหนหนึ่ง เรามีบุญกุศลมากกว่านั้นอีก ถ้าเราเกิดปัญญาขึ้นมามีมากกว่านั้นอีก แล้วเราจะมาน้อยใจอะไรว่าเราไม่มีสมบัติจะทำ ทำจิตให้สงบสิ นี่มีศีลบริสุทธิ์ก็บุญกุศลเกิดแล้ว เพราะมันมีความสงบระงับ ไฟป่าดับแล้ว แล้วถ้าเกิดมีปัญญาขึ้นมานะ นี่ไฟป่ามันเกิดที่ไหน มันเกิดที่ป่ารกชัฏ แล้วถ้าเราทำลายป่ารกชัฏหมดแล้วไฟมันจะไปติดที่ไหน?

นี่ไฟมันติดบนหัวใจของเรา เราแก้กิเลส ขยะมูลฝอย เราทำสิ่งที่เป็นเชื้อไฟออกทั้งหมดแล้ว ไฟมันจะเผาอะไร? เห็นไหม ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา แต่ถ้าไม่เกิดปัญญาขึ้นมา เราทำสิ่งใดก็ล้มลุกคลุกคลาน นี่ว่าอะไรคือบุญ? อะไรคือบุญ? ก็วิ่งหากันนะบุญอยู่ไหน? บุญอยู่ไหน? ก็บุญอยู่กลางหัวอกนี่ไง เสียสละสิ่งนั้นเป็นการแสดงออกของน้ำใจ ถ้าจิตมันไม่คิดมันจะทำไม่ได้หรอก

สิ่งที่เป็นวัตถุๆ ดูสิดูคลังสินค้าสิ นี่เต็มคลังสินค้าเลย เก็บไว้ล็อกกุญแจไว้นะ เดี๋ยวมันหมดอายุ เดี๋ยวมันจะบูดเน่าอยู่นั่น มันเป็นบุญกุศลของใคร? แต่เพราะเรามีน้ำใจ น้ำใจเราอยากทำบุญของเรา เราหาสิ่งนี้มาเพื่อเสียสละ มันแสดงออก แสดงออก เห็นไหม บุญอย่างหยาบๆ แล้วอย่างละเอียดเข้าไป เราดูแลรักษาใจของเรา ถ้าเราดูแลรักษาใจของเรา อยู่ในบ้านนะ เราจะพูดจะคุยกันนะ มันก็ไม่ฟิวส์ขาด ถ้าไม่ดูแลรักษาใจกัน ใครอย่าพูดนะมันจะตีหน้ายักษ์เข้าใส่หากัน เพราะไม่รักษาใจ

แต่ถ้าเรารักษาใจของเรา ใจมันสงบระงับ เห็นไหม เห็นสิ่งใดมันเห็นแล้วมันสะเทือนใจนะ สะเทือนใจว่าชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราแสวงหามาเพื่อการดำรงชีวิต เสร็จแล้วเราก็ต้องจากกันไป สิ่งที่จากกันไป แต่เพราะเราขาดสติเราถึงว่าของกูๆ นั่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา เก็บรักษา เก็บไปเก็บมานะช็อกตายเดี๋ยวนั้นคามือ วัตถุอยู่คามือ แต่จิตมันไปแล้ว จิตมันไปแล้ว ถ้าเรามีสติปัญญา นี่มันจะมีสติปัญญา มันจะยั้งคิดของเรา เห็นไหม ยั้งคิดนะ ของเรา ของเรานี่โดยสมมุติ เพราะเราแสวงหาก็เป็นสมบัติของเรา

ดูสิ ดูอย่างจดทะเบียน ทรัพย์สินที่จดทะเบียน ทะเบียนคือชื่อเรา ของเราทั้งนั้นแหละ แต่พอเราตายไปแล้ว ญาติของเราต้องไปทำการโอนสิทธิ์ให้เป็นของเขา นี่เป็นของเราไหมล่ะ? เราตายไปแล้ว แม้แต่จดทะเบียนไว้ ญาติของเราก็ไปแสดงสิทธิ์ แสดงตนว่าเป็นทายาท เป็นสมบัตินั้น สมบัติของเราจริงตามสมมุติ

ฉะนั้น ตามสมมุติแล้วเราจะใช้ประโยชน์สิ่งใดกับเขา ถ้าเราเป็นเจ้านายนะ แต่ถ้าเราเป็นขี้ข้าเขา เราตายไปแล้วเรายังเป็นขี้ข้าซ้ำสอง ซ้ำสาม จะมาเกิดเป็นตุ๊กแก เป็นเล็น เป็นไร มาเฝ้ามันอีกนะ ของกูๆ มันไม่ใช่หรอก นี้ถ้าเรามีสติปัญญานะ เรามีสติปัญญา เราจะเป็นเจ้านาย คือเราเป็นเจ้าของของเขา เราใช้ประโยชน์เขา นี่สิ่งที่เป็นปัจจัย ๔ ก็ใช้เพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้เพื่อให้มันเกิดปัญญา ให้มันเกิดแยกแยะว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี แล้วดีนอก ดีใน ดีในหัวใจ ดีต่างๆ นี่บุญกุศล

กุศล บุญกุศล บาปอกุศล มันเกิดดับๆ ในหัวใจของเรา เราเลือกแล้วเราแยกแยะสิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับเรา เพื่อชีวิตนี้เกิดมา เกิดมาพบพุทธศาสนา เกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพุทธศาสนา แล้วเราจะตักตวงสิ่งใดในศาสนานี้ติดไม้ติดมือไปกับเรา หลวงตาท่านบอกว่าในศาสนาพุทธนี้เหมือนห้างสรรพสินค้า มีสมบัติทุกอย่าง มีสินค้าทุกชนิด คนที่ฉลาดเขาจะได้สินค้าที่มีคุณค่าไป เราเกิดมาในพุทธศาสนา เกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา แล้วเราจะจับฉวยสิ่งใดติดไม้ติดมือเราไป

เราเสียสละนี้มันจะเป็นทิพย์ เป็นทิพย์ว่าเสียสละไปแล้วจิตใจมันได้รับ เพราะผู้เสียสละมันรู้ไง เห็นไหม เราเสียสละสิ่งใดไปเรารู้ของเรา สิ่งที่รู้มันติดกับใจไป เวลาติดกับใจไป นี่มันเป็นสัญญาติดกับใจไป แต่ถ้ามันเป็นบุญกุศลที่มันเกิดเป็นธรรมขึ้นมา เกิดปัญญาขึ้นมา มันเป็นเนื้อเดียวกับใจเลย เวลาสังโยชน์มันขาด เห็นไหม มันขาดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป นี่จิตใจนี้สำคัญมาก บุญกุศลที่ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปเราจะแสวงหาของเรา เพื่อประโยชน์กับชีวิตของเรา เอวัง